วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

คำถาม เทคโนโลยีสารสนเทศ

ให้นักศึกษาตอบคำถามต่อไปนี้
1.      เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยพัฒนาประเทศได้อย่างไร
ตอบ เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการจัดหา วิเคราะห์ ประมวลจัดการและจัดเก็บ เรียกใช้หรือแลกเปลี่ยน และเผยแพร่สารสนเทศ ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ว่าจะอยู่ในรูปแบบของรูป เสียง ตัวอักษร หรือภาพเคลื่อนไหว รวมไปถึงการนำสารสนเทศและข้อมูลไปปฏิบัติตามเนื้อหาของสารสนเทศนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของผู้ใช้
ในปัจจุบันจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะเป็นสารสนเทศที่จำเป็นในการประกอบธุรกิจในการค้าขาย การผลิตสินค้า และการให้บริการทางสังคม การจัดการทรัพยากรของชาติ การบริหารและการปกครอง จนถึงเรื่องเบาๆ เรื่องไร้สาระบ้าง  เช่น สภากาแฟที่สามารถพบได้ทุกแห่งหนในสังคม เรื่องสาระบันเทิงในยามประกอบการไปจนถึงเรื่องความเป็นความตาย เช่น ข่าวอุทกภัย วาตภัย หรือการทำรัฐประหารและปฏิวัติ เป็นต้น และยังช่วยในการพัฒนาในเรื่องคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจักการให้บริการสังคมพื้นฐาน อาทิเช่น ด้านการศึกษา และการสาธารณสุข ฯลฯ
2.   สารสนเทศสนับสนุนงานขององค์กรอย่างไร บ้าง จงอธิบายพร้อมให้เหตุผลประกอบ
ตอบ  เนื่องจาก การเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูงขึ้น การตัดสินใจของผู้บริหารต้องทำในเวลาที่จำกัดภายใต้เงื่อนไขต่างๆมากมาย ทำให้บทบาทของสารสนเทศในองค์กรมีมากขึ้นในแง่ของการให้สารสนเทศแก่ผู้บริหารในการช่วยการตัดสินใจทางธุรกิจ จึงทำให้องค์กรตัดสินใจ นำระบบสารสนเทศหรือเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในองค์กร นำมาใช้เทคโนโลยีต่างๆ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ในองค์กร เช่น การเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงาน การเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน และการสร้างความต้องการในด้านอื่นๆ นอกจากนี้องค์กร การเมืองในองค์กร ลักษณะการดำเนินการ  และวัฒนธรรมองค์กร เป็นต้น
3. เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างไรบ้าง
ตอบ  ปัจจุบันธุรกิจมีการแข่งขันสูงและต้องอาศัยปัจจัยหลายด้าน อันจะทำให้องค์กรสามารถอยู่รอดได้ ผู้บริหารจำเป็นมีการจัดการที่ดีกับทรัพยากรทางการจัดการ อันประกอบด้วย บุคลากร(Man) เครื่องจักร(Machine) วัตถุดิบ(Material) เงิน(Money) การจัดการ(Management)  และตลาด(Market) หรือ 6 M’s นั่นเอง โดยมีบุคลากรเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้องค์กรเจริญเติบโตไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ข้อได้เปรียบหรือจุดแข็ง (Strength) เป็นสิ่งที่ทุกองค์กรพยายามสร้างขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งง่าย ที่กิจการสามารถสร้างขึ้นมาได้ เช่น บริษัท NOKIA  ได้มีการพัฒนาโทรศัพท์มือถือ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบดิจิตอลมากกว่าคู่แข่งขัน ซึ่งในอดีตผู้นำคือบริษัท โมโตโรล่า ที่ยังเน้นเทคโนโลยีระบบอนาลอก บริษัทต้องเสียเวลามาปรับกลยุทธ์กับสินค้าใหม่แต่ก็ช้าเกินไป ทำให้ NOKIA สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแทน ทั้ง ๆ ที่ในอดีต NOKIA เป็นบริษัทเล็ก ๆ ของประเทศฟินแลนด์ ซึ่งมีประชากรแค่ 5.3 ล้านคน จึงมีการตั้งคำถามว่า ทำไมประเทศเล็ก ๆ นี้จึงสามารถเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ภายในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 20 ปีที่ผ่านมา ได้อย่างไร? NOKIA เป็นตัวอย่างที่องค์กรต่าง ๆ พยายามศึกษาถึงกลยุทธ์ความสำเร็จ แต่การที่จะเป็นผู้นำได้นั้น ไม่สามารถสร้างในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ได้ จากการวิเคราะห์พบว่า ปัจจัยที่เป็นหัวใจหลักของการประสบความสำเร็จก็คือ รัฐบาลฟินแลนด์มีนโยบายให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างจริงจัง ด้วยการพยายามส่งเสริมภาคเอกชนมีการทำวิจัยและพัฒนาพร้อมไปกับผลงานของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการพัฒนาองค์ความรู้ (Knowledge) ของภาคเอกชนให้สามารถพัฒนาในเชิงพาณิชย์ (Commercialization) ได้ ทำให้ประเทศฟินแลนด์สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับสินค้าอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามประเทศอื่น ๆ ก็สามารถที่จะทำให้มีความได้เปรียบเช่นเดียวกับประเทศฟินแลนด์เช่นกัน ดังภาพที่ 1 ซึ่งแสดงลำดับขั้นของการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจ

4. .
ให้นักศึกษาอธิบายหัวข้อต่อไปนี้
ตอบ  -ระบบสารสนเทศด้านการจัดการโซ่อุปทาน
          โซ่อุปทาน หรือ ห่วงโซ่อุปทาน หรือ เครือข่ายลอจิสติกส์ คือ การใช้ระบบของหน่วยงาน คน เทคโนโลยี กิจกรรม ข้อมูลข่าวสาร และทรัพยากร มาประยุกต์เข้าด้วยกัน เพื่อการเคลื่อนย้ายสินค้าหรือบริการ จากผู้จัดหาไปยังลูกค้า กิจกรรมของห่วงโซ่อุปทานจะแปรสภาพทรัพยากรธรรมชาติ วัตถุดิบ และวัสดุอื่นๆให้กลายเป็นสินค้าสำเร็จ แล้วส่งไปจนถึงลูกค้าคนสุดท้าย (ผู้บริโภค หรือ End Customer) ในเชิงปรัชญาของโซ่อุปทานนั้น วัสดุที่ถูกใช้แล้ว อาจจะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ที่จุดไหนของห่วงโซ่อุปทานก็ได้ ถ้าวัสดุนั้นเป็นวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Recyclable Materials) โซ่อุปทานมีความเกี่ยวข้องกับห่วงโซ่คุณค่า
โดยทั่วไปแล้ว จุดเริ่มต้นของห่วงโซ่มักจะมาจากทรัพยากรธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรทางชีววิทยาหรือนิเวศวิทยา ผ่านกระบวนการแปรรูปโดยมนุษย์ผ่านกระบวนการสกัด และการผลิตที่เกี่ยวข้อง เช่น การก่อโครงร่าง, การประกอบ หรือการรวมเข้าด้วยกัน ก่อนจะถูกส่งไปยังโกดัง หรือคลังวัสดุ โดยทุกครั้งที่มีการเคลื่อนย้าย ปริมาณของสินค้าก็จะลดลงทุกๆครั้ง และไกลกว่าจุดกำเนิดของมัน และท้ายที่สุด ก็ถูกส่งไปถึงมือผู้บริโภค
 การแลกเปลี่ยนแต่ละครั้งในห่วงโซ่อุปทาน มักจะเกิดขึ้นระหว่างบรรษัทต่อบรรษัท ที่ต้องการเพิ่มผลประกอบการ ภายใต้สภาวะที่พวกเขาสนใจ แต่ก็อาจจะมีความรู้น้อยนิด/ไม่มีเลย เกี่ยวกับบริษัทอื่นๆในระบบ ปัจจุบันนี้ ได้เกิดบริษัทจำพวกบริษัทลูก ที่แยกออกมาเป็นเอกเทศจากบริษัทแม่ มีจุดประสงค์ในการสรรหาทรัพยากรมาป้อนให้บริษัทแม่

-ระบบสารสนเทศด้านการจัดการลูกค้าสัมพันธ์
ระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management : CRM) เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว กับลูกค้า เรียนรู้ความต้องการที่แตกต่างกันของลูกค้า และตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยสินค้า หรือบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนมากที่สุด
การจัดการลูกค้าสัมพันธ์   (Customer relationship management
ความสำคัญของการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) ช่วยให้องค์กรสามารถเพิ่มความสัมพันธ์อันดีให้กับลูกค้า เพิ่มรายได้ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่ายในการแสวงหาลูกค้า และ เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ( Customer Satisfaction ) โดยการสร้างกระบวนการทำงานและพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้าจำนวนผู้ประกอบการ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน สามารถนำแนวทางการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ เช่น แนวทางที่สำคัญในการจัดการระบบการบริหารงานและสร้างมาตรฐานการทำงานในบริษัท เช่น การรวบรวมเกี่ยวกับข้อมูลของลูกค้า , การจัดการเกี่ยวกับช่องทางการสื่อสารและการพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อสนองตอบสิ่งที่ลูกค้าต้องการ

-ระบบสารสนเทศด้านการวางแผนทรัพยากรองค์กร
ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์การ (Enterprise Resource Planning : ERP) เป็นระบบสารสนเทศที่บูรณาการงานหลักต่างๆ ขององค์การ เช่น การจัดซื้อจัดจ้าง การผลิต การขาย การบัญชี และการบริหารบุคคล ฯลฯ เข้าด้วยกันโดยเชื่อมโยงกันแบบเรียลไทม์ (Real Time) เพื่อตอบสนองความต้องการข้อมูลหรือสารสนเทศโดยภาพรวมและการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ
-ระบบสารสนเทศด้านการจัดการความรู้
   การจัดการความรู้เป็นกระบวนการรวบรวม จัดระบบ จัดหมวดหมู่ และเผยแพร่สารสนเทศทั่วทั้งองค์การเพื่อให้ผู้ที่ต้องกรสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์ (Alter,1988 อ้างถึงใน Shukla,www.geoities.com/madhukar_shukla/km.pdf)                การจัดการความรู้เป็นการรวบรวมวิธีปฏิบัติขององค์การและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการสร้างการนำไปใช้ และการเผยแพร่ความรู้และบริบทต่างๆทีเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ (World Bank อ้างถึงใน สุวรรณ เหรียญเสาวภาคย์ และคณะ,2548) การจัดการความรู้เป็นการนำความรู้ให้กับผู้ที่ต้องกาในเวลาเหมาะสม (USAID,http://knowledge.usaid.gov/JoeRabenstine_Seminar1.pdf)                 โดยสรุปการจัดการความรู้ เป็นกระบวนการหนึ่ง ซึ่งช่วยองค์การในการระบุ คัดเลือก รวบรวม เผยแพร่และโอนย้ายสารสนเทศที่มีความสำคัญ อีกทั้งยังประกอบด้วยความรู้และความชำนาญงานโดยจัดเก็บไว้ในฐานความรู้ขององค์การ ซึ่งความรู้เหล่านี้จะช่วยแก้ปัญหาอันเกิดจากการทำงานทีมักเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอโดยกระบวนการจะเริ่มต้นตั้งแต่ การะบุถึงความรู้ที่ต้องการสร้างรูปแบบของกาจัดเก็บความรู้อย่างเป็นทางการ ในการเพิ่มมูลค่าของความรู้นั้นทำได้ด้วยการนำความรู้ไปใช้อีกบ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ ดังนั้นในองค์การที่ประสบผลสำเร็จจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนความรู้ให้อยู่ในรูปแบบของทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) โดยมีการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างบุคคลและการเผยแพร่กระจายความรู้อย่างกว้างขวาง จนก่อให้เกิดฐานความรู้ขนาดใหญ่ที่สามารถเรียกใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาภายในองค์การแห่งการเรียนรู้และยังนำไปสู่การสร้างความรู้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆและมีการปับเปลี่ยนความรู้ให้ทันสมัยขึ้นอย่างไม่มีวันจบสิ้น โดยที่วัฏจักรด้านการจัดการความรู้มี 6 ขั้นตอน ดังนี้               
ขั้นตอนที่การสร้างความรู้ ซึ่งกำหนดได้จากการกระทำของบุคคล               
ขั้นตอนที่การจับความรู้ โดยการคัดเลือกความรู้ที่มีมูลค่าและสมเหตุสมผล               
ขั้นตอนที่การปรับความรู้ โดยมีการจัดบริบทความรู้ใหม่ที่นำไปปฏิบัติได้               
ขั้นตอนที่การเก็บความรู้ โดยทำการจัดเก็บความรู้ที่มีประโยชน์ไว้ภายในฐานความรู้ ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกเมื่อที่ต้องการ               
ขั้นตอนที่การจัดการความรู้ โดยทำการปรับความรู้ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ซึ่งมักจะมีการตรวจสอบและทบทวนถึงความตรงประเด็นและความถูกต้องของความรู้อยู่สมอ               
ขั้นตอนที่การเผยแพร่ความรู้ โดยนำเสนอความรู้ซึ่งถูกจัดให้อยู่ในรูปแบบที่บุคคลต้องการ ไม่ว่าจะเป็นที่ใดหรือเวลาใดก็ตาม
-ระบบสารสนเทศด้านอัฉริยะทางธุรกิจ  
จากความจำเป็นในการแข่งขันด้านธุรกิจ ส่งผลให้ระบบสารสนเทศต้องมีการปรับตัว และเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบสนองความต้องการในเชิงธุรกิจ ที่จริงแล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ระบบสารสนเทศเป็นอาวุธสำคัญชิ้นหนึ่ง ที่มีผลโดยตรงต่อธุรกิจเลยทีเดียว บริษัทหลายแห่งยอมลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมากกับระบบเพื่อมุ่งหวังผลการเจริญเติบโตทางธุรกิจ และในเวลาเดียวกันก็มุ่งหวัง การช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในด้านอื่น ๆ มาชดเชยด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นทั้งระบบจะต้องตอบสนอง และเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้รับมือกับความเปลี่ยนไปได้อย่างทันท่วงที ซึ่งถ้าจะมองไปแล้วระบบเครือข่าย ก็เป็นตัวจักรสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่ต้องทำงานประสานกับแอพพลิเคชั่น และผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ถือเป็นองค์ประกอบที่บริษัทไม่สามารถปล่อย ให้เกิดการหยุดทำงานได้อีกต่อไป ลองสังเกตดูง่ายๆ ในสมัยก่อนถ้าเกิดเหตุการณ์ไฟดับขึ้นมา พนักงานทุกคนก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ เราจึงต้องมีระบบสำรองไฟขึ้นมาใช้ เช่นเดียวกันกับสมัยนี้ ถ้าระบบเครือข่ายเสียขึ้นมาต่อให้เซิร์ฟเวอร์ และแอพพลิเคชั่นของผู้ใช้ไม่มีปัญหาอะไร พนักงานก็แทบจะทำอะไรไม่ได้เลย
       จากที่กล่าวมานี้เราจึงมีความจำเป็นที่ต้องการระบบเครือข่ายที่สามารถจะปรับเปลี่ยน และยืดหยุ่นมากเพียงพอที่จะรองรับความต้องการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น และนอกจากนี้จะต้องมีระบบปกป้องตัวเองไม่ให้หยุดการทำงานอันเนื่องมาจากอุปกรณ์เสีย วงจรเชื่อมต่อล่ม หรือเลยไปถึงการหยุดให้บริการจากการถูกโจมตีโดยผู้ไม่หวังดีด้วยวิธีการต่าง ๆ จากที่กล่าวมาถึงความสำคัญของระบบเครือข่าย จึงมีแนวความคิดของเครือข่ายแห่งอนาคตที่เรียกว่า ระบบเครือข่ายสารสนเทศอัจฉริยะ” (IIN:Intelligent Information Network) ที่จะรองรับ และตอบสนองการดำเนินของธุรกิจได้อย่างเต็มที่  
       นอกจากคุณสมบัติดังกล่าวแล้วระบบเครือข่ายอัจฉริยะ IIN นี้ยังจะมีความสามารถที่ให้บริการ หรือทำงานตามแต่แอพพลิเคชั่นจะร้องขอ โดยบริการเหล่านี้ เมื่อถูกผนวกรวม (Integrated) เข้ากับเครือข่ายแล้วจะส่งผลให้การให้บริการทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุดอีกด้วย เช่นการให้บริการด้านเสียง การเสริมระบบความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งการให้บริการแบบไร้สายเป็นต้น
       ระบบเครือข่ายอัจฉริยะยังจะต้องมีความสามารถที่จะเรียนรู้ และเข้าใจว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่วิ่งอยู่บนตัวมันคือข้อมูลอะไร มันไม่เพียงแค่รู้ว่ามันเป็นข้อมูลของแอพพลิเคชั่นใดเท่านั้น แต่ยังมองลึกลงไปด้วยว่า เป็นข้อมูลชนิดไหน หรือแอพพลิเคชั่นนั้น ๆ กำลังทำชิ้นงาน หรือทำรายการอะไรอยู่ ถ้าเครือข่ายสามารถเข้าใจการทำงานของแอพพลิเคชั่นได้แล้ว แอพพลิเคชั่นก็จะทำงานได้อย่างเต็มที่ งานบางอย่างที่เดิมเคยถูกประมวลผลบนเซิร์ฟเวอร์จะสามารถถูกย้ายมาทำงานบนเครือข่ายได้ ทำให้เซิรฟเวอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประโยชน์อีกประการหนึ่งก็คือเมื่อเครือข่ายมีความเข้าใจมากขึ้น มันก็สามารถที่จะเลือกให้บริการ และตอบสนองความต้องการของแอพพลิเคชั่นได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเครือข่ายสามารถเข้าใจแอพพลิเคชั่นการสั่งจองสินค้าจากร้านค้าถึงผู้ผลิต เช่นเครือข่ายสามารถแยกแยะรายการคำสั่งซื้อสินค้ามูลค่าสองหมื่นบาท กับรายการคำสั่งซื้อสินค้ามูลค่าสองล้านบาท เครือข่ายก็ควรจะให้ความสำคัญกับรายการหลังมากกว่ารายการแรก และอาจช่วยส่งคำสั่งไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่มีความเร็วสูงได้ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การเข้ารหัสเพื่อป้องกัน และปกป้องข้อมูลซึ่งสามารถทำได้ทั้งบนครือข่าย หรือบนเซิร์ฟเวอร์ ถ้าทำบนเซิร์ฟเวอร์ก็คงต้องการเซิร์ฟเวอร์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจส่งผลกระทบกับประสิทธิภาพในการทำงานเพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นจริง ๆ ก็ได้ แต่ถ้าเราโยกการเข้ารหัสมาทำบนครือข่าย เซิร์ฟเวอร์ก็จะใช้ประสิทธิภาพทั้งหมดมารองรับการทำงานของแอพพลิเคชั่นได้อย่างเต็มที่ ยิ่งในระบบที่มีเซิร์ฟเวอร์มาก ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งจะเห็นประโยชน์ชัดเจนมากขึ้น หรืออีกประการหนึ่งคือการป้องกันไวรัส และเวิร์ม ถ้าเราป้องกันโดยใช้ซอร์ฟแวร์ที่วิ่งอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ เราก็จะต้องติดตั้งซอร์ฟแวร์ลงบนเครื่องทุกเครื่อง อีกทั้งเรายังปล่อยให้เกิดการระบาดเข้ามาจนถึงตัวเครื่องอีกด้วย ถ้าเป็นการโจมตีบุกรุกก็คงเห็นผลเต็มที่ได้เลยว่า เราสามารถปกป้องเครื่องของเราได้ แต่ครือข่ายอาจจถูกโจมตีไปแล้วจนใช้งานไม่ได้ แต่ถ้าเราติดตั้งระบบป้องกันที่ระดับเครือข่ายเลย มันก็จะปกป้องกันตั้งแต่ทางเข้าเลยทีเดียว จะสังเกตได้ว่าฟังก์ชั่นหลาย ๆ อย่าง ถ้าโยกลงมาทำในระบบเครือข่ายแล้วละก็จะได้ประสิทธิภาพ และผลลัพธ์ที่เต็มที่กว่าเดิม  
       สรุปได้โดยรวมแล้วเทคโนโลยีเครือข่ายแห่งอนาคตที่จะได้เห็นจะมีคุณสมบัติในการปกป้องตัวเองเพื่อสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่องมีความยืดหยุ่นสูง และปรับตัวเองได้ดีเพื่อตอบสนองกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และสามารถที่จะเข้าใจถึงข้อมูล และทำงานประสานกับแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ที่วิ่งผ่านตัวมันเพื่อจะได้จัดบริการที่เหมาะสมให้ได้เต็มประสิทธิภาพสูงสุด เครือข่ายแห่งอนาคตจะไม่ทำหน้าที่เพียงแค่ส่งข้อมูลเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

ส่งโดยนางสาวเบญจมาศ  ภูมิสูง เลขที่ 7 ชั้น บ.กจ.3/1

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

E office คืออะไร มีโปรแกรมอะไรบ้างที่อยู่ใน E office

 E  office คือ
 สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office) คือ การใช้เทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีการสื่อสาร เพื่อปฎิบัติงานทั่วไป งานประจำวัน อย่างเช่น การจัดการเอกสาร จดหมายอิเล็คโทนิค การเก็บรักษาและแก้ไขกลุ่มข้อความ กลุ่มรูปภาพ งานทางบัญชี และ อื่น ๆ สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ ยังรวมถึงระบบ เครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมที่สามารถใช้ประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย
ระบบสำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office) รวมถึง ระบบข้อมูลสำนักงานอัตโนมัติ เป็นระบบที่มีจุดประสงค์หลัก คือ การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ระบบเช่นนี้เป็น การนำเครื่องมือ เครื่องใช้ หลาย ๆ อย่าง รวมเข้าด้วยกัน, ใช้งานร่วมกัน, เก็บรักษา, นำไปใช้ และกระจายข้อมูล ระหว่างผู้ร่วมงาน แต่ละคน , ทีมงาน และธุรกิจ นั้น ทั้งภายใน และภายนอกองค์กร ตัวอย่างของเครื่องมือ สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ เช่น เวิร์ดโปรเซสซิ่ง, เครื่องพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ, อีเมลล์, วอยซ์เมลล์, เครื่องแฟกซ์, มัลติมีเดีย, คอมพิวเตอร์ คอนเฟอร์เรนซิ่ง และ วิดิโอคอนเฟอร์เรนซิ่ง หลายปีที่ผ่านมา สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office) ถูกมองว่า มีเพียงหน้าที่แก้ปัญหาในการทำงาน แต่ในปัจจุบัน ระบบที่ช่วยเสริมการติดต่อ สื่อสารในสถานที่ทำงาน ถูกมองว่ามีความสำคัญ และต้องได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ในระดับเดียวกับระบบ TPS, MIS และ ISS สำนักงานอิเลคทรอนิคส์ (E-Office) ในปัจจุบัน ดูเหมือนกับไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้จริง ๆ แตกต่างจากสำนักงานที่ใช้เพียงเครื่องจักรกล เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเครื่องพิมพ์ดีด, เครื่องยนต์ กลไล และ ระบบไปรษณีย์ เป็นความหมายหลักของการติดต่อสื่อสาร ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องน่าทึ่งที่ยังรอคอยเราอยู่ เรากำลังจะได้เริ่มเห็นบทบาทของ บริษัทเสมือนจริง ซึ่งสามารถทำให้ เราทำงานได้ในทุกแห่ง ปราศจากข้อจำกัดด้านพื้นที่
ข้อมูลจาก http://mfatix.com
มีโปรแกรม
ระบบ E-OFFICE เป็นโปรแกรม สำหรับบริหารงานในองค์กร,บริษัท  online ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือ ใช้เป็น Network Intranet ภายในองค์กร ที่รวมระบบ CRM และ ระบบงานบริหารภายในองค์กร ไว้ด้วยกัน    ทำให้ได้ ระบบการจัดการงานในสำนักงาน ที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ผู้บริหาร   เห็นข้อมูลทุกส่วน เรียกดูเอกสารได้ทุกประเภทออนไลน์  realtime  มีระบบเก็บข้อมูลลูกค้าลงฐานข้อมูล integrateระบบงานทุกแผนก บนฐานข้อมูลเดียวกัน ระบบงานเอกสารขาย-ซื้อ มีระบบอนุมัติเอกสารก่อนนำไปใช้งาน ,สั่งงานพนักงานผ่านระบบปฏิทินงาน  หรือ ระบบ Task   ที่กำหนดผู้รับผิดชอบ และติดตามงาน รายงานผลการปฏิบัติ ได้ ชัดเจน และ ยังมีระบบงานสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ E-Document   ส่งเอกสาร หนังสือเวียน  เซ็นรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์  รวดเร็ว ประหยัดกระดาษ (paperless) ลดค่าใช้จ่ายในองค์กร พร้อมทั้งระบบ เมล์ โพลล์ และ กำหนดสิทธิการใช้งานของ user ได้อย่างอิสระ
ที่มา http://www.e-office.in.th/
ส่งโดย นางสาวเบญจมาศ ภูมิสูง  บ.กจ 3/1

แบบฝึกหัด

แบบฝึกหัด
1.อินเตอร์ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์กับลูกค้าอย่างไร
ตอบ    เป็นชุมชนอิเล็กทรอนิกส์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีทั้ง ผู้ซื้อ ผู้ขาย ผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ เข้าออกแล้วค้นหาสินค้าและบริการตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจ Internet จึงเป็นเหมือนจุดศูนย์การในการทำธุรกิจของโลกปัจจุบันมาก
 2.อินเตอร์เน็ต  เอ็กซ์ทราเน็ต แตกต่างกันอย่างไร
ตอบ แตกต่างกันอินเตอร์เน็ตคือตัวอย่างหนึ่งของทางด่วนสารสนเทศที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และเป็นทางด่วนที่ได้รับความนิยมสูงสุด เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปถึงศักยภาพในการเติบโตเป็นชุมชนขนาดใหญ่ของอินเตอร์เน็ต โดยปัจจุบันนี้อินเตอร์เน็ตมีการเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์นับล้านระบบและมีผู้ใช้หลายสิบล้านคน ซึ่งเทียบประชากรอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันได้กับประชากรของประเทศไทยทั้งประเทศ และที่สำคัญก็คือรายได้เฉลี่ยของประชากรอินเตอร์เน็ต จะสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของประชากรประเทศใด ๆ ในโลก
 อินทราเน็ต(Intranet) คือ ระบบเครือข่ายภายในองค์กร เป็นบริการ และการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหมือนกันอินเทอร์เน็ต แต่จะเปิดให้ใช้เฉพาะสมาชิกในองค์กรเท่านั้น เช่น อินทราเน็ตของธนาคารแต่ละแห่ง หรือระบบเครือข่ายมหาดไทย ที่เชื่อมศาลากลางทั่วประเทศ เป็นต้น เป็นการสร้างระบบบริการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเปิดบริการคล้ายกับอินเทอร์เน็ตเกือบทุกอย่าง แต่ยอมให้เข้าถึงได้เฉพาะคนในองค์กรเท่านั้น เป็นการจำกัดขอบเขตการใช้งาน ดังนั้นระบบอินเทอร์เน็ตในองค์กร ก็คือ "อินทราเน็ต" นั่นเอง แต่ในช่วงที่ชื่อนี้ยังไม่เป็นที่นิยม ระบบอินทราเน็ต ถูกเรียกในหลายชื่อ เช่น Campus network, Local internet, Enterprise network เป็นต้น
3. กูเกิ้ล พลัส คืออะไร
ตอบ Google+ (Google Plus) คือโครงการของ Google ที่มีความพยายามมานานหลังจากมีการออกมายอมรับก่อนหน้านั้นว่า Google ขยับตัวช้าไปในเรื่องนี้แถมยังมีข้อเสนอพิเศษให้กับพนักงานที่สามารถคิดโครงการ Social Networks ให้ออกมาประสบความสำเร็จอีกด้วยโดยก่อนหน้านี้เราคงเห็นปุ่ม Google + ที่เปิดตัวกันไปก่อนหน้านี้แล้วซึ่งหลายคนก็ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่ากดไปแล้วมันจะได้อะไร แหล่งปลายทางของข้อมูลที่กด Google+นั้นจะไปอยู่ที่ไหน
4.  Instant Messaging (IM) คืออะไร
ตอบ Instant Messaging : IM คือ โปรแกรมที่ให้ผู้ใช้สามารถส่งผ่านข้อความ, ตัวอักษร, ภาพนิ่ง,
ภาพเคลื่อนไหว, ไฟล์มัลติมีเดีย หรือคุยตอบโต้กันได้แบบเรียลไทม์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
สามารถสนับสนุนกระบวนการดำเนินธุรกิจและช่วยลดค่าใช้จ่ายโทรศัพท์ได้ เนื่องเป็นการส่ง
ข้อความแบบ Real-Time ทำให้ติดต่อสื่อสารกันได้ง่ายใช้แทนการใช้โทรศัพท์ได้ และยัง
สามารถส่งงาน หรือเอกสารได้ ทำให้ช่วยสนับสนุนกระบวนการดำเนินธุรกิจไปได้โดยง่าย

 อ้างอิง http://www.kwamru.com/google-plus-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-google/

ส่งโดย นางสาวเบญจมาศ ภูมิสูง ชั้น บ.กจ 3/1 เลขที่ 7